
เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า
ดูเหมือนเครื่องตัดหญ้าชนิดนี้จะแพร่หลายที่สุด เหตุผลของมันคือ เพราะทุกบ้านต้องมีปลั๊กไฟอยู่แล้ว เพียงแต่ลากสายมาเสียบปลั๊กก็ใช้ได้เลย
เครื่องตัดหญ้าชนิดใช้ไฟฟ้านี้ มีสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. เครื่องชนิดมีลูกล้อ เครื่องแบบนี้ มักจะปรับระดับความสูงต่ำของใบมีดโดยมีคันโยกเปลี่ยนระดับที่ล้อ บางรุ่นอาจใช้การเสริมแหวนที่ใบมีด มอเตอร์ของเครื่องชนิดนี้โดยทั่วไปมักจะมีความเร็วรอบไม่สูงมากนัก เพราะแรงของมอเตอร์จะถูกนำไปใช้ในการหมุนใบมีดตัดหญ้าเพียงอย่างเดียว ราคาของเครื่องจะถูกกว่าเครื่องแบบลอยตัว (3พัน – 5 พันบาท ทั่ว ๆ ไปที่มีจำหน่าย ใบมีดขนาด 12-16 นิ้ว) มีทั้งแบบมีกล่องเก็บหญ้า และแบบไม่มีกล่อง(ราคาถูกกว่าเล็กน้อย)
2. เครื่องชนิดลอยตัว เครื่องตัดหญ้าแบบนี้ไม่มีล้อ เวลาใช้งานมอเตอร์แรงสูง จะหมุนจานปั่นลมที่อยู่ติดกับใบมีด ทำให้เครื่องถูกแรงลมยกให้ลอยขึ้นเล็กน้อยเหมือนยานโฮเวอร์คร้าฟท์ ทำให้เวลาตัดจะหญ้าจะรู้สึกเบา มีทั้งแบบมีกล่องและไม่มีกล่องเก็บหญ้า ใบมีดมีหลายขนาดแล้วแต่ยี่ห้อ เนื่องจากไม่มีลูกล้อให้เกะกะ จึงสามารถตัดหญ้าในซอกเล็กซอยน้อยได้ดีกว่าแบบมีลูกล้อ เครื่องตัดหญ้าแบบนี้ ใช้ตัดหญ้าบริเวณที่ตกแต่งเป็นเนินในสนามได้ดีกว่าเครื่องตัดหญ้าอื่นทุกประเภท
เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้าทั้งสองชนิดนี้ มีข้อพึงระวังสำคัญคือ เวลาใช้งาน จะต้องเคลียร์ให้สายไฟอยู่ด้านหลังผู้ตัดเสมอ แม้ในตัวเครื่อง จะมีระบบตัดการทำงานเมื่อเครื่องตัดเอาสายไฟขาดก็ตาม
ข้อดีข้อเสียของเครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า
1. ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับเครื่องใช้น้ำมัน ชนิดลอยตัวอาจแพงถึงหลักหมื่น แต่แบบใช้ลูกล้อราคาจะถูกลงกว่าครึ่ง
2. แหล่งพลังงานหาง่าย ไม่ต้องซื้อหาเพิ่มเติม
3. เสียงไม่ดังนัก เมื่อเทียบกับเครื่องชนิดใช้น้ำมัน แต่เสียงจะดังขึ้นตามอายุการใช้งาน (อันนี้เป็นคุณสมบัติร่วม ระหว่างเครื่องตัดหญ้ากับภรรยา)
4. ใบมีดไม่ต้องลับบ่อยนัก เพราะอาศัยความเร็วรอบที่ค่อนข้างสูงในการตัดให้หญ้าขาด แต่หากจะลับ ต้องเช็คให้มั่นใจว่า ลับใบมีดได้เสมอกันทั้งสองด้าน โดยเมื่อลับเสร็จ ให้ใช้แท่งดินสอสอดเข้าไปในรูตรงกลางใบมีด สังเกตอย่าให้ใบมีดหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง มิฉะนั้น จะทำให้เครื่องสั่นเป็นเจ้าเข้า ตัดไปนาน ๆ มือที่จับเครื่องจะชาจนแทบหมดความรู้สึก
5. ไม่ต้องการการบำรุงรักษามากนัก ใช้เสร็จอาจแค่ใช้เกียงแซะเศษหญ้าที่ติดอยู่ใต้ตัวเครื่องออกแล้วเก็บเข้าห้องเก็บของได้เลย
6. ถ้าใช้แบบมีกล่องเก็บหญ้า จะลดภาระในการเก็บกวาดหญ้าที่ตัดแล้วได้ในระดับหนึ่ง แต่เวลาตัดก็จะหนักแรงมากกว่า
7. มีสายไฟเกะกะ ต้องคอยระวังการตัดโดนสายไฟ ถ้าสนามหญ้ายาว หรือห่างจากตัวบ้านมาก จะต้องมีสายพ่วงเพิ่มความยาวอีก ทำให้ยิ่งเกะกะในระหว่างใช้งาน
8. ไม่ค่อยพบปัญหาจุกจิกระหว่างการใช้งาน กดสวิทช์เปิดเครื่องได้ก็ตัดได้ เปิดแล้วไม่ติดก็แปลว่าเครื่องเสีย ส่วนเสียแล้วจะซ่อมได้หรือไม่ คุ้มที่จะซ่อมหรือไม่นั่นเป็นอีกปัญหาหนึ่ง โดยทั่วไปถ้ามอเตอร์ไหม้ ก็ต้องโยนทิ้ง ไม่คุ้มที่จะเปลี่ยนมอเตอร์ เพราะราคาแพงเกือบเท่าซื้อเครื่องใหม่ ผู้เขียนเคยเอามอเตอร์ที่เสียไปจ้างร้านซ่อมไดนาโมพันให้ใหม่ ผลคือ เอากลับมาใช้ได้อีกสองสามครั้งก็ไหม้อีก เพราะลวดทองแดงที่ใช้พันไม่เหมือนของเดิมที่มาจากโรงงาน
9. อายุการใช้งานค่อนข้างสั้น เครื่องหนึ่ง ๆใช้ได้ 4-5 ปีก็นับว่าเก่งแล้ว (กรณีที่ตัดหญ้าเดือนละ 2 ครั้ง ในบ้านขนาด 200 ตารางวา อย่างสม่ำเสมอ)
10. แรงของเครื่องชนิดนี้ไม่ดี เจอหญ้ายาว ๆ สักหน่อย โดยเฉพาะหญ้านวลน้อยหน้าฝน เครื่องชนิดนี้มักเดี้ยงเอาง่าย ๆ วิธีแก้ก็คือ ต้องตัดหญ้าสองรอบ รอบแรกตั้งความยาวให้สูดสุด ตัดยอดหญ้าทิ้งไปรอบหนึ่ง แล้วค่อยตั้งใบมีดให้ต่ำลงเพื่อตัดให้ได้ความยาวตามปกติ ทำให้สิ้นเปลืองแรงงาน และในบางหย่อมของสนามที่หญ้าทั้งยาวทั้งหนา อาจเข็นเดินหน้าไม่ได้เลย เข็นเข้าไปเครื่องจะดับและมอเตอร์จะไหม้ วิธีแก้คือ ลากเครื่องถอยหลัง เพื่อให้เครื่องฟาดหญ้าให้ล้มลงเสียรอบหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเข็นเดินหน้า
ข้อพึงระวังสำหรับเครื่องชนิดนี้คือ ในกรณีที่บ้านมีเด็กวัยกำลังซุกซน ไม่ควรเสียบปลั๊กเครื่องทิ้งไว้ เพราะเด็กอาจมาเล่นจนเกิดอันตรายได้ ไม่ควรหงายเครื่องขึ้นในขณะเครื่องกำลังทำงานอยู่ ไม่ควรสัมผัสส่วนที่เป็นมอเตอร์หลังใช้งานเสร็จใหม่ ๆ เพราะมันร้อนมาก และที่สำคัญ พึงตระหนักว่า น้ำกับไฟ(ฟ้า) มันไม่ถูกกัน จึงไม่ควรใช้งานในสนามที่เปียกชื้น หรือในขณะฝนตก
โดยสรุป เครื่องตัดหญ้าชนิดนี้ เหมาะกับบ้านที่มีสนามหญ้าไม่กว้างนัก และเจ้าของบ้านเป็นคนขยันพอสมควร สามารถตัดหญ้าได้อย่างสม่ำเสมอเดือนละสองครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะหากเว้นนานกว่านี้ หญ้าจะยาวจนเกินกำลังเครื่อง ต้องเสียเวลาตัดหลายครั้ง บ้านที่มีแต่ผู้หญิงดูเหมือนจะเหมาะกับเครื่องชนิดนี้ที่สุด เพราะไม่จุกจิก ไม่ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวอะไรมากมาย แต่นั่นก็ต้องแลกกับอายุใช้งานที่ค่อนข้างสั้น และกำลังเครื่องที่ค่อนข้างน้อย ก็ลองพิจารณาให้เหมาะกับแต่ละคนนะครับ
เครื่องตัดหญ้าชนิดใช้เครื่องยนต์ หรือเครื่องน้ำมัน
เป็นเครื่องตัดหญ้าคลาสสิค และยังครองความคลาสสิคต่อไปอย่างยากจะหาเครื่องชนิดอื่นมาเทียมทัน มีจุดเด่นอยู่ที่กำลังแรงของเครื่องที่เหลือเฟือในการสู้รบกับหญ้ายาว ๆ และอายุการใช้งานที่ยาวนานของเครื่อง อาจพูดได้ว่า ซื้อเครื่องเดียวใช้ไปชั่วชีวิตก็ว่าได้ มีทั้งแบบเครื่องยนต์ 2 จังหวะ และ 4 จังหวะให้เลือกตามความถนัดของแต่ละคน
เครื่องตัดหญ้าแบบใช้น้ำมันนี้ มี 2 ประเภทย่อย ๆ ให้เลือกคือ
1. เครื่องตัดแบบสะพายบ่า ที่ผู้เขียนชอบเรียกว่าเครื่องหางยาง
เครื่องชนิดนี้เหมาะสำหรับตัดหญ้าลำต้นสูง ๆ เช่นพวกหญ้าคาที่ขึ้นตามริมถนนเสียมากกว่า ไม่เหมาะที่จะใช้ในบ้าน เพราะต้องสะพายไว้บนบ่า แม้จะไม่หนักมากนัก แต่สะพายไว้นาน ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน และที่สำคัญคือ เรื่องของความปลอดภัย เครื่องชนิดนี้ต้องการความชำนาญของผู้ใช้เครื่องค่อนข้างสูง โอกาสที่เศษหญ้า หรือเศษก้อนกรวดก้อนดินจะกระเด็นใส่ตาของผู้ใช้มีค่อนข้างมาก หรืออาจกระเด็นโดนรถโดนกระจกเสียหาย จึงไม่แนะนำผู้ที่ไม่มีความชำนาญให้ใช้เครื่องชนิดนี้
หากจะใช้จริง ๆ อุปกรณ์สำคัญที่ต้องซื้อหามาใช้ควบคู่ไปด้วยคือ แว่นตานิรภัย ให้สวมใส่ทุกครั้งที่ใช้เครื่อง ป้องกันเศษกิ่งไม้หรือก้อนหินกระเด็นเข้าตา และก่อนตัดทุกครั้ง ต้องเดินสำรวจพื้นที่ เก็บเศษหินเศษปูนออกให้หมดสนามหญ้าก่อนเสมอ
2. เครื่องตัดหญ้าน้ำมันแบบรถเข็น
รูปร่างหน้าตาก็ไม่ต่างอะไรกับรถเข็นตัดหญ้าแบบไฟฟ้า ที่ต่างคือมีเครื่องยนต์ขนาดเล็กอยู่ด้านบน เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องเบนซิน ส่วนใหญ่เป็นแบบ 4 จังหวะ เติมน้ำมันเบนซินเข้าไปก็ใช้ได้เลย ไม่ต้องผสมน้ำมันออโต้ลูปให้วุ่นวายเหมือนเครื่องยนต์ 2 จังหวะ แถมเดี๋ยวนี้ ผู้ผลิตยังออกแบบให้มีกล่องเก็บหญ้ามาให้ด้วย ทำให้ประหยัดเวลาในการเก็บกวาดสนามหลังตัดหญ้าเสร็จได้อีกโข (สมัยก่อน เครื่องชนิดนี้นิยมออกแบบให้เป่าหญ้าออกข้าง ตัดเสร็จต้องตามกวาดตามโกยเศษหญ้าอีกรอบ)
การปรับตั้งระดับของใบมีด ใช้คันโยกเปลี่ยนระดับความสูงของล้อ ความคมของใบมีดมีผลต่อความรวดเร็วสวยงามของหญ้าที่ตัดพอสมควร เนื่องจากรอบไม่จัดเท่าเครื่องไฟฟ้า จึงน่าที่จะถอดใบมีดเอาไปลับอย่างน้อย 5-6 เดือน/ครั้ง
จุดเด่นของเครื่องชนิดนี้คือ กำลังที่มีให้เหลือเฟือเพื่อใช้พิชิตหญ้าหน้าฝนของเขตร้อนชื้นอย่างเมืองไทย จุดอ่อนที่สุดของมันกลับเป็นเรื่องเสียงของเครื่องที่ดังกว่าเครื่องตัดหญ้าชนิดอื่นทุกชนิด
ข้อดีและข้อเสีย
1. ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเครื่องที่ใช้ไฟฟ้า (ระดับราคามีตั้งแต่หมื่นกว่า ๆ ขึ้นไปถึง 3-4 หมื่นบาท แล้วแต่ความแรงของเครื่องยนต์)
2. ต้องตระเตรียมเชื้อเพลิงไว้เพื่อใช้งาน โดยทั่วไปก็คือน้ำมันเบนซิน อ็อกเทน 91 (ยกเว้นประเภทเครื่องยนต์ 2 จังหวะ จะต้องมีน้ำมันออโต้ลูปด้วย) ไม่แนะนำให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล แม้จะใช้แทนกันได้ แต่เมื่อน้ำมันชนิดนี้ถูกทิ้งอยู่ในเครื่องนาน ๆ อาจทำให้แหวน และท่อยาง มีอายุการใช้งานสั้นลง
3. สามารถตัดหญ้าได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพะวงกับสายไฟ จึงทำให้งานเสร็จเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบวกกับกำลังที่เหลือเฟือของเครื่องชนิดนี้ ทำให้นักตัดหญ้ามืออาชีพเลือกใช้เครื่องชนิดนี้กันโดยถ้วนหน้า
4. อะไหล่และการซ่อมบำรุงมักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเครื่องยนต์เล็กที่ใช้กับเครื่องตัดหญ้าชนิดนี้ ซ่อมได้แทบทุกส่วน อะไหล่ถึงไม่มีของยี่ห้อนั้นโดยตรง ก็สามารถหายี่ห้ออื่นมาใช้แทนได้ ผิดกับเครื่องที่ใช้ไฟฟ้า ที่ผู้จำหน่ายมักไม่ค่อยสำรองอะไหล่ไว้นานนัก เพราะจะมีรุ่นใหม่ ๆ ออกมาแทบทุกปี
5. อายุการใช้งานยาวนาน อาจพูดได้ว่า ซื้อมาเครื่องเดียวใช้ไปจนตาย
6. ต้องการการซ่อมบำรุงตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนหัวเทียน การทำความสะอาดไส้กรองอากาศ การล้างคาบิวเรเตอร์ การถอดลับใบมีด จึงไม่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี หรือพ่อบ้านที่ขาดทักษะในทางช่างเบื้องต้น
7. แม้จะตัดหญ้าได้เร็วและแรงดี แต่ด้วยความเทอะทะและน้ำหนักที่มากของตัวเครื่อง ทำให้ตัดหญ้าตามซอกมุม หรือบนพื้นที่เป็นเนินได้ไม่สะดวกเท่าเครื่องไฟฟ้า จึงเหมาะสำหรับสนามหญ้าที่ราบเรียบเป็นบริเวณกว้าง
กล่าวโดยสรุป เครื่องตัดหญ้าแบบรถเข็นใช้น้ำมันนี้ มีจุดเด่นเรื่องกำลังที่มีให้อย่างเพียงพอ รับมือกับหญ้ายาว ๆ ได้อย่างสบาย พ่อบ้านที่ไม่สู้มีเวลาตัดหญ้าอย่างสม่ำเสมออาจชอบ แต่ก็ต้องแลกกับการตระเตรียมน้ำมันอันเป็นเชื้อเพลิงสำคัญ และเสียงอันดังหนวกหูของมันบ้าง และอาจจะต้องดูแลเอาใจใส่บ้างตามกำหนดเวลา ก่อนซื้อเครื่องตัดหญ้าชนิดนี้ ผู้ใช้ควรถามตัวเองเสียก่อนว่า พร้อมจะรับภาระการดูแลรักษาเครื่องดังที่กล่าวมาแล้วหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจ หรือไม่พร้อม ก็เลี่ยงไปใช้เครื่องไฟฟ้าจะเป็นการดีกว่าครับ